หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ

 
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ Thursday, February 28, 2008 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7098 วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
 
 
BIG KNIT … กินไป ถักไป  
             เด็กสาวผมม้าตรงในชุดกางเกงขาเดฟสีดำกับเสื้อยืดสีขาวม้วนแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยตามสมัยนิยม แบบที่ชอบเรียกกันว่า “เด็กแนว” กำลังนั่งคิ้วขมวดอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ในมือของเธอกำลังวุ่นวายกับไม้ถักนิตติ้ง ที่กำลังถักทอเส้นไหมสีแดงสด     ให้กลายเป็นผ้าพันคอในอนาคต
                อาจเป็นภาพที่ขัดแย้ง ถ้ามองจากสไตล์การแต่งตัวและทรงผมอินเทรนด์  แต่     “ไน้ส์  ตันศรีสกุล” เจ้าของร้าน Big Knit ร้านขายอุปกรณ์ถักนิตติ้ง ใจกลางสุขุมวิทบอกว่า ความเชื่อที่เคยมีมานานว่านิตติ้งเป็นงานอดิเรกสำหรับคนแก่นั้น เริ่มจะถูกแทนที่ด้วยเด็กวัยรุ่นซะแล้ว
                 สาวน้อยวัย 24 ปี ที่เพิ่งเรียนจบการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์มาหมาด ๆ แต่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของกิจการร้านนิตติ้ง ที่ให้บริการครบรูปแบบทั้งขายอุปกรณ์และสอนถัก ตลอดจนบริการน้ำชา กาแฟและอาหาร สำหรับชุมชนชาวนิต ได้บอกเล่าถึงที่มาของร้านเธอ ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาต้องสะดุดตา ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนชอบประดิษฐ์ประดอย  เคยหัดถักนิตติ้งมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถักอีกเลยจนกระทั่งเรียนจบ พอตอนเริ่มทำร้านนี้ก็มาเริ่มหัดถักอีกทีหนึ่ง แต่ช่วงหัดทำก็จะเอาไหมพรมทำกำไล ทำกิ๊บติดผมมากกว่า เพราะตอนแรกเราคิดว่าถักนิตติ้งมันยาก แล้วเราก็เป็นคนใจร้อนมาก แต่พอมาหัดจริง ๆ ก็ไม่รู้สึกว่ามันยาก เพราะไหมที่เราซื้อมาจากเมืองนอกมันสวยอยู่แล้ว  เราไม่จำเป็นต้องถักลายยาก ๆ แค่เลือกคู่สีหรือมิกซ์แอนด์แมทซ์ให้มันสวยมันก็สวยแล้ว ไม่ได้ยากเหมือนที่คิด จากความชอบส่วนตัวบวกกับการได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ และพบเห็นไหมพรมสวย ๆ มากมาย เธอจึงเกิดไอเดียเปิดร้านของตัวเอง 
            ก่อนหน้านี้ แม่จะเป็นคนชอบสะสมไหมพรมแปลก ๆ จากเมืองนอกอยู่แล้ว แล้วไหมจากเมืองนอกมันน่ารักตรงที่มีริบบิ้น มีดอกไม้แทรก มีไหมเป็นประกายแซมอยู่ ซึ่งเมื่อสักสองปีที่แล้ว ยังไม่เคยเห็นในเมืองไทย พอไปเที่ยวเมืองนอกก็ไปดูร้านไหมพรมในต่างประเทศ ก็เริ่มซื้อเก็บไว้มีคนมาเห็นก็ขอซื้อต่อ เราก็เริ่มอยากซื้อเพิ่ม แต่ในเมืองไทยไม่มีขายไหมพรม เลยเริ่มสั่งซื้อเองจากต่างประเทศ 
           ร้านอายุ  6 เดือนแห่งนี้ จึงเกิดขึ้นและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ เพราะตั้งแต่ยังไม่เปิดร้านแต่เป็นเพียงสต็อกเก็บสินค้า ก็เริ่มมีคนมาติดต่อขอซื้อไหม จนต้องขยับขยายด้วยการจัดวางโซฟา 1 ตัว สำหรับลูกค้าที่มาเลือกไหมและอยากนั่งถัก โดยมีครูคอยแนะนำ ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันปากต่อปาก น่าจะมาจาก   การคัดเลือกไหมพรมมาวางขาย
         “ไหมพรมที่เราซื้อมาจากต่างประเทศจะเป็นแบรนด์ดังอับดับหนึ่งของแต่ละประเทศ เช่น   สเปน  อิตาลี ฝรั่งเศส  เยอรมัน  อังกฤษ ฯลฯ  มีราตาตั้งแต่   170 – 680 บาท จากหลายแบรนด์ แล้วของเราจะมีไหมมาใหม่ทุกเดือน”
          ทำเลที่ตั้งในย่านธรุกิจและสถานที่ตกแต่งอย่างสวยงาม บรรยากาศเป็นกันเอง ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ยิ่งช่วยทำให้มีลูกค้าประจำได้ไม่ยาก  สถานที่ตั้งก็อยู่ใก้ลบ้านลูกค้าอยู่แล้ว พวกพี่เวลามา เขาก็มาอยู่ถึงเที่ยงคืน - ตีหนึ่ง แทนที่จะดูทีวีอยู่บ้านก็มาดูที่นี่แทน    ส่วนใหญ่ลูกค้าก็จะมากันทุกวันอยู่แล้ว บางทีก็มาทานข้าวบ้าง ไม่ได้มานั่งถักก็มาทักทายกัน เรารู้สึกว่าลูกค้าเหมือนเพื่อนกัน เพราะรู้จักกันตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน เขาจะโทรมาขอซื้อไหมก่อน อย่างหนังสือในร้านลูกค้าก็เป็นคนซื้อมาให้
       ลูกค้าของเราจะหลากหลาย มีทั้งเด็กมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย มานั่งเล่นกันถึงดึก ๆ       จริง ๆ ร้านปิดสามทุ่ม บางทีลูกค้าอยู่ถึงตีสามก็มี ลูกค้าบางกลุ่มมากันทั้งครอบครัว ตั้งแต่   ยายมาถึงหลานก็มี ส่วนช่วงเวลาที่ลูกค้าจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับเทศกาลเป็นหลัก       ช่วงหน้าหนาวเด็กวัยรุ่นมาเยอะ ถักของให้แฟน พอใกล้วาเลนไทน์เด็กก็มาถักของขวัญให้แฟน มันจะคล้าย ๆ เทรนด์เหมือนกัน  จากแต่ก่อนที่การถักอะไรแบบนี้ จะถูกมองว่าเป็นของคนแก่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว ไน้ส์เล่าเสริม ยังไม่รวมถึงลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาบ้างประปราย  ส่วนมากเป็นชาวญี่ปุ่นสัก 10 เปอร์เซ็นต์ ที่นี่จึงตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการจ้างครูจากแดนปลาดิบที่จบจากสถาบันนิตติ้งโดยตรง สำหรับผู้ที่อยากเรียนในขั้นสูงและเน้นเทคนิคต่าง ๆมากขึ้น ไม่รวมครูคนไทยจำนวน  2 คน ที่สอนการถักขั้นพื้นฐานฟรีสำหรับลูกค้าที่มาซื้ออุปกรณ์ที่นี่ 
         สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มงานอดิเรกชนิดนี้ดีหรือไม่ อาจจะเริ่มต้นด้วยการเข้ามาซึมซับบรรยากาศสบาย ๆ ของที่นี่ และชิมเค้กช็อกโกแลตคู่กับกาแฟกลิ่นหอมก่อนจะเริ่มถัก   ซึ่งเจ้าของร้านบอกถึงที่มาของร้านอาหารที่มาพร้อมกับถักนิตติ้งว่า เพราะลักษณะนิสัยของ  คนนั่งถักจะนั่งนาน ลูกค้าบางคนที่อยู่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่มีอะไรกิน เราก็เลยรู้ว่าเปิดร้านแบบนี้ต้องมีอาหารขายด้วย ตอนแรกที่ขายก็มีแค่ขนมนิด ๆ หน่อย ๆ แต่พอตอนเที่ยง คนก็จะไปนั่งทานมื้อเที่ยงข้างนอก เราก็เลยมีขายอาหารเพิ่มขึ้นมา แต่ก็จะไม่ใช่เป็นเมนูเหมือนร้านอาหารทั่วไป จะเป็นอาหารแบบ Menu Of The Day ( วันต่อวัน ) มากกว่า 
           ใครที่มาเยือนร้านนี ้จึงจะได้สัมผัสทั้งอาหารรสชาติดี และได้ตื่นตาตื่นใจไปกับไหมพรมหลากสีจากทั่วโลก ที่ไม่ว่าใครเห็นก็คงอดไม่ได้ที่จะนึกอยากถักขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีความคิดถัก ๆ ทอ ๆ มาก่อนก็เป็นได้ ถ้าลองได้ถักแล้วจะติดใจค่ะ มันอยากจะถักไปเรื่อย ๆ  แล้วจะเลิกไม่ได้ พวกพี่ ๆ ที่เขามาทุกวัน เขาบอกว่าสงสัยต้องไปเลิกที่ถ้ำกระบอกแล้ว ( หัวเราะ )
คิ้วที่ขมวดของเด็กสาวคนเดิมเริ่มคลายลง บางทีไหมสีแดงกลุ่มนี้ อาจจะกลายเป็นผ้าพันคอแนวๆ ต่อไปในอนาคตก็เป็นได้.
 
Hall of Fame | Knitivity | Fan Spotlight | Big Diary | Orders & Policy | Links | Contact Us